ประวัติ ของ เกว็น สเตฟานี

1969–1985: ชีวิตช่วงแรก

สเตฟานีเกิดเมื่อ 3 ตุลาคม ค.ศ. 1969 ที่ฟูลเลอร์ตัน รัฐแคลิฟอร์เนีย[8] เติบโตในครอบครัวโรมันคาทอลิกในแอนะไฮม์ รัฐแคลิฟอร์เนีย[9] ชื่อของเธอตั้งตามชื่อบริกรหญิงบนเครื่องบนจากบนประพันธ์ปี 1968 เรื่อง แอร์พอร์ต ส่วนชื่อกลาง เรเน (Renée) มาจากเพลงของวงเดอะโฟร์ทอปส์ ปี 1968 ที่คัฟเวอร์ของเลฟต์ แบงก์ในปี 1966 ที่ชื่อ "วอล์กอะเวย์เรเน"[10] พ่อเธอ เดนนิส สเตฟานี เป็นชาวอเมริกันเชื้อสายอิตาลี ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่การตลาด (marketing executive) ที่ยามาฮ่า[11] ส่วนแม่ของเธอ แพตตี (สกุลเดิม ฟลินน์)[12] ทำงานเป็นนักบัญชี ก่อนที่จะออกมาเป็นแม่บ้าน[11][13] พ่อแม่ของเกว็นนั้นเป็นแฟนเพลงแนวโฟล์ก ยังให้เธอฟังเพลงของศิลปินอย่าง บ็อบ ดิลลันและเอมมีลู แฮร์ริส[9] เธอยังมีน้องอีก 2 คน คือ จิลล์และทอดด์ และมีพี่ชายชื่อเอริก[9][13] เอริกเคยเป็นมือคียบอร์ดให้วงโนเดาต์ ก่อนจะออกไปทำงานสร้างภาพเคลื่อนไหวเรื่อง เดอะซิมป์สันส์[8]

1986–2004: โนเดาต์

ดูบทความหลักที่: โนเดาต์
สเตฟานีแสดงร่วมกับโนเดาต์ในงานวูดู 2002

พี่ชายของเธอ เอริก ได้แนะนำให้เกว็นรู้จักกับดนตรีแนวทูโทน อย่างวงแมดเนสส์และเดอะซีเลกเตอร์ และในปี 1986 เขาได้ชวนเธอให้มาร้องกับวงโนเดาต์ วงแนวสกาที่เขาก่อตั้งขึ้น[8] จนท้ายสุดในปี 1991 วงได้เซ็นสัญญากับอินเตอร์สโคปเรเคิดส์ ออกอัลบั้มชื่อเดียวกับวง เมื่อปี 1992 แต่ดนตรีแบบสกาป็อปเช่นนี้ ก็ไม่ประสบความสำเร็จนัก เนื่องจากแนวเพลงกรันจ์กำลังเป็นที่นิยม[14] ก่อนที่แนวเพลงนี้จะประสบความสำเร็จในกระแสหลักเพราะวงโนเดาต์และซับไลม์ สเตฟานีเป็นนักร้องรับเชิญให้กับเพลง "ซอว์เรด" (Saw Red) ในอัลบัมของซับไลม์ในปี 1994 ที่ชื่อชุด รอบบินเดอะฮูด สเตฟานีปฏิเสธความก้าวร้าวของศิลปินหญิงแนวกรันจ์ และเอ่ยถึงนักร้องวงบลอนดี ที่ชื่อ เดบบี แฮร์รี ว่าเธอเป็นการผสมผสานระหว่างพลังกับแรงดึงดูดทางเพศ ว่าเป็นอิทธิสำคัญต่อเธอ[15] อัลบัมชุด 3 ของโนเดาต์ ชุด ทราจิกคิงดอม (1995) ที่ออกหลังจากอัลบัมที่วงออกเอง เดอะบีคอนสตรีตคอลเลกชัน (1995) ใช้เวลาทำงานมากกว่า 3 ปี โดย 5 ซิงเกิลจาก ทราจิกคิงดอม อย่าง "โดนต์สปีก" ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตปลายปีของฮอต 100 แอร์เพลย์ ประจำปี 1997[16] สเตฟานีออกจากวิทยาลัย 1 เทอมเพื่อออกทัวร์ ทราจิกคิงดอม แต่ก็ไม่กลับมาเรียนต่อหลังจากที่ทัวร์กินระยะเวลา 2 ปีครึ่ง[9] อัลบัมได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่และขายได้มากกว่า 16 ล้านชุดทั่วโลก จากข้อมูลปี 2004[9][17][18] ในปลายปี 2000 นิตยสาร โรลลิงสโตน ตั้งฉายาเธอว่า "ราชินีเพลงป็อปสารภาพผิด" (The Queen of Confessional Pop)[19]

ช่วงอยู่กับโนเดาต์ที่ประสบความสำเร็จในกระแสหลัก สเตฟานีร่วมงานกับศิลปินอื่นหลายซิงเกิล อย่าง "ยูร์เดอะบอส" (You're the Boss) ร่วมงานกับไบรอัน เซตเซอร์ ออร์เคสตรา, "เซาท์ไซด์" กับโมบี้ และ "เลตมีโบลว์ยาไมนด์" กับอีฟ ต่อมาในปี 2000 โนเดาต์ออกอัลบั้มที่ได้รับความนิยมน้อยลง ชุด รีเทิร์นออฟแซเทิร์น ที่ต่อยอดอิทธิพลเพลงนิวเวฟจากชุด ทราจิกคิงดอม[20] เนื้อเพลงส่วนใหญ่มุ่งประเด็นที่ความสัมพันธ์อันเหนียวแน่นของสเตฟานีกับหัวหน้าวงบุช ณ ขณะนั้น ที่ชื่อเกวิน รอสส์เดล และเรื่องความไม่แน่ใจ รวมถึงการตัดสินใจในการลงหลักปักฐานและการมีบุตรของเธอ[21] อัลบัมในปี 2001 ชุด ร็อกสเตดี เพิ่มกลิ่นอายเร็กเกและแดนซ์ฮอลล์มากขึ้น แต่ยังคงแนวนิวเวฟในฉบับของวงไว้ โดยทั่วไปแล้วได้รับเสียงวิจารณ์ด้านบวก[22] อัลบัมนี้มีซิงเกิลที่ประสบความสำเร็จในแง่อันดับในสหรัฐ[23] ซิงเกิล "เฮย์เบบี" และ "อันเดอร์นีทอิตออล" ได้รับรางวัลแกรมมี่ จากนั้นอัลบัมรวมเพลงฮิต เดอะซิงเกิลส์ 1992–2003 บรรจุเพลงคัฟเวอร์ของวงทอล์กทอล์ก เพลง "อิตส์มายไลฟ์" ออกวางขายในปี 2003 อีฟและสเตฟานีได้รับรางวัลแกรมมี่สาขาการร่วมงานเพลงร้องหรือแร็ปยอดเยี่ยมจากเพลง "เลตมีโบลว์ยาไมนด์"[24]

2004–2006: เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี. และเปิดตัวงานแสดง

สเตฟานีแสดงใน ฮาราจูกะเลิฟเวอส์ทัวร์ ปี 2005

อัลบัมเดี่ยวเปิดตัวของสเตฟานี ชุด เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี. ออกจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 2004 อัลบัมชุดนี้มีการร่วมงานกับโปรดิวเซอร์และศิลปินมากมาย อย่างเช่น โทนี แคแนล, ทอม รอทร็อก, ลินดา เพอร์รี, อังเดรทรีเทาซันด์, เนลลี ฮูเพอร์, เดอะเนปจูนส์ และนิวออร์เดอร์ สเตฟานีสร้างสรรค์อัลบั้มนี้โดยนำเพลงที่เธอยังฟังครั้งเรียนอยู่ไฮสกูลมาทำให้ทันสมัย และ แอล.เอ.เอ็ม.บี. ก็ได้รับอิทธิพลจากความหลากหลายด้านดนตรีในคริสต์ทศวรรษ 1980 และต้นยุคคริสต์ทศวรรษ 1990 อาทิเพลงนิวเวฟ, ซินท์ป็อปและอิเล็กโทร[25] การตัดสินใจของสเตฟานีในการออกงานเดี่ยวก็เป็นโอกาสที่ดีให้เธอลงลึกถึงแนวเพลงป็อป แทนที่จะทำให้ทั้งโลกเชื่อในความสามารถ ความลึกและคุณค่าความเป็นศิลปิน[1] ผลก็คือ ได้รับเสียงวิจารณ์ผสมกันไป ดังคำบรรยายที่ว่า "สนุกอย่างที่สุด แต่ไม่เชิงว่ามีเกลื่อนกลาด โดยถูกทำลายจากคำวิจารณ์ของสังคม"[26] อัลบัมเปิดตัวบนชาร์ต บิลบอร์ด 200 ที่อันดับ 7 และขายได้มากกว่า 309,000 ชุดในสัปดาห์แรก[27] แอล.เอ.เอ็ม.บี. ประสบความสำเร็จได้รับการยืนยันแผ่นเสียงทองคำขาวหลายแผ่นในสหรัฐ,[11] สหราชอาณาจักร,[28] ออสเตรเลีย,[29] และแคนาดา[30]

ซิงเกิลแรกจากอัลบัมนี้คือ "วอตยูเวติงฟอร์?" เปิดตัวที่อันดับ 1 ของแอเรียซิงเกิลส์ชาร์ต และเปิดตัวอันดับ 47 บน บิลบอร์ด ฮอต 100 ของสหรัฐ[31] และสามารถอยู่ในท็อป 10 ของชาร์ตโดยส่วนมาก[32] เพลงนี้เป็นการอธิบายว่าทำไมสเตฟานีถึงผลิตผลงานอัลบัมเดี่ยวออกมาและสาธยายถึงความกลัวของเธอหลังออกจากวงโนเดาต์มาออกเดี่ยว[33] ยังพูดถึงความต้องการจะมีลูก[34] "ริชเกิร์ล" เป็นซิงเกิลที่ 2 ของอัลบัม ได้ร่วมร้องกับแร็ปเปอร์ อีฟและมีโปรดิวเซอร์คือ ดร. เดร เป็นการดัดแปลงมาจากเพลงป็อปในคริสต์ทศวรรษ 1990 ของศิลปินอังกฤษที่ชื่อ ลูซี ลู แอนด์ มิชชี วัน เนื้อเพลงถือเป็นการคัฟเวอร์แบบหลวม ๆ มาก แต่เมโลดีนั้นใกล้เคียงกับเพลง "อิฟไอเวอร์อะริชแมน" ของ ฟิดเดลอร์ออนเดอะรูฟ ซิงเกิล "ริชเกิร์ล" เป็นการพิสูจน์ได้ถึงความสำเร็จในหลายรูปแบบ โดยติดท็อป 10 ในสหรัฐและสหราชอาณาจักร[31][35] ซิงเกิลที่ 3 ของอัลบัม "ฮอลลาแบกเกิร์ล" ถือเป็นซิงเกิลอันดับ 1 ซิงเกิลแรกของเธอในสหรัฐและอันดับ 1 ลำดับที่ 2 ในออสเตรเลีย ส่วนที่อื่น สามารถติดใน 10 อันดับแรก[31][36] ยังเป็นเพลงแรกในสหรัฐที่มียอดดาวน์โหลดเกินล้าน และเป็ฯเพลงที่ได้รับความนิยมตลอดปี 2005[3] ซิงเกิลที่ 4 "คูล" ออกจำหน่ายไม่นานนักหลังที่ซิงเกิลก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จ โดยติดท็อป 20 ในสหรัฐและสหราชอาณาจักร[31][35] เนื้อเพลงและมิวสิกวิดีโอที่ถ่ายทำที่ทะเลสาบโกโม ในประเทศอิตาลี มีเนื้อหาเกี่ยวข้อกับอดีตคนรักของเธอ แคแนล[37] "ลักซูเรียส" เป็นซิงเกิลที่ 5 ของอัลบัม แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าเพลงก่อน ๆ "แครช" ออกจำหน่ายช่วงต้นปี 2006 ในฐานะซิงเกิลที่ 6 ถือเป็นตัวทดแทนอัลบัมถัดมาของ เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี. ที่ต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากเธอตั้งครรภ์[38]

ในปี 2004 สเตฟานีเริ่มมีความสนใจในการแสดงภาพยนตร์และเริ่มออดิชันหนังหลายเรื่อง อย่างเช่น มิสเตอร์แอนด์มิสซิสสมิธ นายและนางคู่พิฆาต[39] เธอมีผลงานเรื่องแรก รับบทเป็นจีน ฮาร์โลว์ในภาพยนตร์กำกับโดยมาร์ติน สกอร์เซซีเรื่อง บินรัก บันลือโลก ในปี 2004 สกอร์เซซีมีบุตรสาวที่เป็นแฟนเพลงโนเดาต์ เขาได้แสดงความสนใจที่จะรับเลือกเธอแสดงหลังจากเห็นภาพยถ่ายของเธอที่ได้รับแรงบันดาลใจจากมาริลิน มอนโรจากนิตยสาร ทีนโว้ก ในปี 2003[40][41] เพื่อเตรียมการจะรับบทนี้ สเตฟานีอ่านหนังสือชีวประวัติของเธอ 2 เรื่องและดูหนังที่ฮาร์โลว์แสดง 18 เรื่อง[9] การถ่ายทำในส่วนของเธอใช้เวลา 4 ถึง 5 วัน สเตฟานีมีบทพูดเพียงเล็กน้อย[42] สเตฟานียังพากย์เสียงให้กับตัวละครในวิดีโอเกมปี 2004 มาลิซ อย่างไรก็ดีก่อนที่จะเสร็จสิ้น บริษัทเลือกที่จะไม่ใช้เสียงของสมาชิกวงโนเดาต์นี้[43]

2006–2008: เดอะสวีตเอสเคป

สเตฟานีแสดงใน เดอะสวีตเอสเคปทัวร์ ปี 2007

สตูดิโออัลบัมชุดที่ 2 ของสเตฟานี ชุด เดอะสวีตเอสเคป ออกขาย 1 ธันวาคม 2006[44] สเตฟานียังคงทำงานร่วมกับแคแนล, เพอร์รี และเดอะเนปจูนส์ รวมถึงเอค่อนและทิม ไรซ์-ออกซ์ลีย์จากวงร็อกอังกฤษ คีน อัลบัมนี้เน้นเพลงอิเล็กทรอนิกส์และแดนซ์สำหรับคลับมากขึ้นกว่าอัลบัมชุดก่อน[11] อัลบัมออกพร้อมกับดีวีดีการออกทัวร์ครั้งแรกของสเตฟานี ที่ใช้ชื่อชุดว่า ฮาราจูกุเลิฟเวอส์ไลฟ์ อัลบัมชุดนี้ได้รับเสียงตอบรับผสมกันไป ทั้งบอกว่า "ได้ความรู้สึกขุ่นหมองอย่างน่าประหลาดใจ, ความรู้สึกเหมือนอัตชีวประวัติเล็กน้อย แต่สเตฟานีก็ยังไม่ทำให้เชื่อได้ว่าเป็นดีวาที่ได้พึงพอใจ"[45] และยังเรียกอัลบัมนี้ว่า "การกลับมาที่เร่งรีบ ที่ดูซ้ำกับ เลิฟ. แอนเจิล. มิวสิก. เบบี. แต่พลังน้อยกว่า"[46]

"ไวนด์อิตอัป" ซิงเกิลนำของอัลบัม ได้รับเสียงวิจารณ์ผสมกันไป ที่มีการใช้คำพูดเรื่อยเปื่อยและการสอดแทรกเพลงจากหนัง มนต์รักเพลงสวรรค์ เข้าไป[47] เพลงประสบความสำเร็จพอสมควร ขึ้นสูงสุดใน 10 อันดับแรกในสหรัฐและสหราชอาณาจักร[48] ส่วนไตเติลแทร็กได้รับการตอบรับดีอย่างกว้างขวาง ขึ้นชาร์ตใน 10 อันดับแรกมากกว่า 15 ประเทศ รวมถึงขึ้นสูงสุดอันดับ 2 ทั้งสหรัฐ, ออสเตรเลีย และสหราชอาณาจักร ในการประชาสัมพันธ์อัลบัม เดอะสวีตเอสเคป สเตฟานีเป็นผู้ให้คำปรึกษาในฤดูกาลที่ 6 ของรายการ อเมริกันไอดอล และแสดงเพลงร่วมกับเอค่อน เพลงนี้ยังได้รับการเสนอชื่อรางวัลแกรมมี่ในสาขาการร่วมงานเพลงป็อปยอดเยี่ยม[49] อีก 3 ซิงเกิลจากอัลบัม "โฟร์อินเดอะมอร์นิง", "นาวแดตยูกอตอิต" ที่ร่วมร้องกับเดเมียน มาร์เลย์ และ "เออร์ลีวินเทอร์" ในการประชาสัมพันธ์อัลบัม สเตฟานีเดินทางรอบโลก ในเดอะสวีตเอสเคปทัวร์ ที่ครอบคลุมพื้นที่ในอเมริกาเหนือ, ยุโรป, เอเชียและแปซิฟิก และบางส่วนของละตินอเมริกา จากบทสัมภาษณ์ใน เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี ฉบับ 6 มิถุนายน 2011 เธอเล่าว่า เธอไม่มีแผลที่จะกลับมาออกผลงานเดี่ยว โดยบอกว่า "เป็นช่วงเวลาตอนนั้น ที่ดูจะยาวกว่าที่พวกเราคิดว่า ด้วยเพราะเป็นแรงดลใจและคุณก็ต้องไปในสักที่ที่คุณจะต้องไปในช่วงเวลานั้นของชีวิต แต่ทุกอย่างก็ลงตัวอย่างที่ควรจะเป็น"[50]

2009–2013: กลับมาทำโนเดาต์

ขณะที่สเตฟานีกำลังประชาสัมพันธ์อัลบัม เดอะสวีตเอสเคป อยู่นั้น วงโนเดาต์ก็เริ่มทำงานอัลบัมชุดใหม่โดยไม่มีเธอ[51] วางแผนไว้ว่าจะทำให้เสร็จหลังจากเดอะสวีตเอสเคปทัวร์ของเธอจบลง[52] เดือนมีนาคม 2008 วงเริ่มมีการโพสต์ข้อความเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของวงในฟอรัมอย่างเป็นทางการของวง สเตฟานีก็โพสต์ในวันที่ 28 มีนาคม 2008 ว่าได้เริ่มเขียนเพลงแล้วแต่ยังทำได้ช้าอยู่ เหตุเพราะเธออยู่ในช่วงตั้งครรภ์บุตรคนที่ 2[53] โนเดาต์ประกาศบนเว็บไซต์ทางการของวงว่าต้องการออกทัวร์ในปี 2009 ขณะที่กำลังจะทำผลงานอัลบัมล่าสุดกำลังเสร็จ และวางไว้ว่าจะออกในปี 2010[54] ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2008 มีการประกาศว่าโนเดาต์จะเป็นวงนำในเทศกาลแบมบูเซิล 2009 ในเดือนพฤษภาคม ร่วมกับวงฟอลล์เอาต์บอย วงออกทัวร์ในประเทศเสร็จในฤดูร้อนปี 2009[55]

วันที่ 11 มิถุนายน 2012 วงประกาศบนเว็บไซต์ทางการของวงว่า อัลบัมใหม่จะออกวันที่ 25 กันยายน โดยมีซิงเกิลแรกออก 16 กรกฎาคม ใช้ชื่ออัลบัมว่า พุชแอนด์โชฟ ซิงเกิลแรกคือ "เซตเทิลดาวน์" กำกับมิวสิกวิดีโอโดยโซฟี มุลเลอร์ (ก่อนหน้านี้กำกับมิวสิกวิดีโอหลายตัวให้โนเดาต์) ในช่วงเวลานั้นเองโนเดาต์เป็นผู้ให้คำปรึกษารับเชิญในรายการ เอกซ์แฟกเตอร์ ฉบับสหราชอาณาจักร[56] "เซตเทิลดาวน์" ขึ้นอันดับสูงสุดอันดับ 34 บน บิลบอร์ด ฮอต 100 ขณะที่อัลบัมสูงสุดอันดับ 3 บนชาร์ต บิลบอร์ด 200 ต่อมาในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2012 วงได้ดึงมิวสิกวิดีโอ "ลุกกิงฮอต" ออกจากอินเทอร์เน็ต เนื่องจากได้รับเสียงวิจารณ์ว่าใจดำกับชนพื้นเมืองอเมริกัน[57]

2014–2016: เดอะวอยซ์ และ ดิสอิสวอตเดอะทรุทฟีลส์ไลก์

12 เมษายน 2014 สเตฟานีได้ปรากฏตัวแบบสร้างความประหลาดใจในเทศกาลโคเชลลา เธอร่วมแสดงกับฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ บนเวที ในช่วงการแสดงเพลงของเขาในเพลง "ฮอลลาแบกเกิร์ล"[58] วันที่ 29 เมษายน มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าสเตฟานีจะร่วมในฤดูกาลที่ 7 ของรายการ เดอะวอยซ์ ในฐานะโค้ช โดยแทนที่คริสตินา อากีเลรา[59] หลังจากไม่ได้มางาน เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ นาน 9 ปี เธอกลับมาอีกครั้งในปี 2014 ในช่วงการสัมภาษณ์บนพรมแดง เธอบอกว่า "ฉันไม่รู้ว่า ฉันกำลังจะมีลูก และฉันกำลังจะทำ เดอะวอยซ์ และฉันก็ไม่รู้ว่กำลังจะเขียนเพลงใหม่ ฉันก็เหมือนรู้สึกว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป"[60] สเตฟานียังปรากฏตัวในฐานะนักร้องร่วมในเพลงของมารูนไฟฟ์ที่ชื่อ "มายฮาร์ตอิสโอเพน" ร่วมแต่งโดยเซีย เฟอร์เลอร์ จากอัลบัม ไฟฟ์[61] ที่ยังได้ร่วมแสดงกันครั้งแรกกับแอดัม เลอวีนในงานแกรมมี่ 2015[62] สเตฟานียังร่วมงานกับแคลวิน แฮร์ริสในเพลง "ทูเกเตอร์" จากอัลบัมของเขาที่ชื่อ โมชัน[63]

เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2014 สเตฟานีบอกกับเอ็มทีวีนิวส์ ในระหว่างสัปดาห์แฟชั่นนิวยอร์กว่า เธอกำลังทำงานอัลบัมทั้งโนเดาต์และผลงานเดี่ยวของตัวเองอยู่ เธอยังเปิดเผยว่า เธอทำงานอยู่กับวิลเลียมส์[64] สเตฟานีออกผลงานการกลับมาอีกครั้งกับซิงเกิล "เบบีโดนต์ลาย" เมื่อ 20 ตุลาคม 2014 ซึ่งเธอร่วมแต่งกับโปรดิวเซอร์ ไรอัน เทดเดอร์, เบนนี บลังโก และโนเอล แซนแคเนลลา[65] บิลบอร์ด ประกาศว่าสตูดิโออัลบัมชุดที่ 3 จะออกเดือนธันวาคม โดยมีเบนนี บลังโกเป็นผู้อำนวยการผลิต[66] ช่วงปลายเดือนตุลาคม มีการเปิดเผยเพลงใหม่บางส่วนจากอัลบัมชุดที่ 3 ของสเตฟานี เพลงชื่อว่า "สปาร์กเดอะไฟร์" เป็นครั้งแรก เพลงผลิตโดยฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์[67] เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน ได้เผยแพร่เต็มเพลงครั้งแรกทางออนไลน์[68] และปล่อยให้ดาวน์โหลด เมื่อ 1 ธันวาคม[69] ทั้ง "เบบีโดนต์ลาย" และ "สปาร์กเดอะไฟร์" มีอยู่ในอัลบัมชุดที่ 3 ของเธอ วันที่ 13 มกราคม 2015 สเตฟานีและวิลเลียมบันทึกเสียงเพลงที่ชื่อ "ไชน์" เพื่อประกอบภาพยนตร์เรื่อง แพดดิงตัน สเตฟาเนียและเซียทำงานร่วมกันในเพลงบัลลาดที่ชื่อ "สตาร์ตอะวอร์" (Start a War) ที่คาดว่าจะออกในอัลบัมชุดที่ 3 แต่อย่างไรก็ตาม เพลงนี้ไม่ปรากฏอยู่[70] วันที่ 10 กรกฎาคม 2015 แร็ปเปอร์ชาวอเมริกา เอ็มมิเน็มมีซิงเกิลที่ร้องกับสเตฟานีที่ชื่อ "คิงส์เนเวอร์ดาย" จากเพลงประกอบภาพยนตร์ เซาท์พาว เพลงเข้าชาร์ตครั้งแรกและสูงสุดที่อนดับ 80 บนชาร์ต บิลบอร์ด ฮอต 100[71] และมียอดดาวน์โหลดในสัปดาห์แรก 35,000 ครั้ง[72]

17 ตุลาคม 2015 สเตฟานีแสดงในคอนเสิร์ตที่เป็นส่วนหนึ่งของทัวร์มาสเตอร์การ์ดไพรซ์เลสส์เซอร์ไพรส์ทัวร์ ที่แฮมเมอร์สไตน์บอลรูม ในนครนิวยอร์ก เธอแสดงเพลงใหม่ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการอกหักต่ออดีตสามี เกวิน รอสส์เดล เพลงชื่อ "ยูสด์ทูเลิฟยู"[73] เพลงปล่อยให้ดาวน์โหลดเมื่อ 20 ตุลาคม 2015 วิดีโอค่อยปล่อยมาทีหลังในวันเดียวกัน เพลงออกในสถานีวิทยุเพลงร่วมสมัยในสหรัฐเมื่อ 27 ตุลาคม 2015[74] เพลงนี้ยังเป็นซฺงเกิลแรกอย่างเป็นทางการจากอัลบัมเดียวชุดที่ 3 ของเธอ ที่ชื่อชุด ดิสอีสวอตเดอะทรุทฟีลส์ไลก์ ที่เธอเริ่มทำงานในช่วงฤดูร้อน 2015 สเตฟานีบอกว่า มีหลายเพลงก่อนหน้านี้ที่เธอทำในช่วงปี 2014 เธอรู้สึกถูกบังคับและดูเป็นของเทียม ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่เธอต้องการแต่แรก[75][76][77] ซิงเกิลที่ 2 ของอัลบัมชื่อ "เมกมีไลก์ยู" ออกเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2016[78] อัลบัม ดิสอิสวอตเดอะทรุทฟีลส์ไลก์ ออกเมื่อ 18 มีนาคม 2016 และเปิดตัวที่อันดับ 1 บน บิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขาย 84,000 ชุด ในสัปดาห์แรก เป็นอัลบัมแรกของเธอที่ขึ้นอันดับ 1 ในฐานะศิลปินเดี่ยว[79] เพื่อประชาสัมพันธ์อัลบัม สเตฟานีมีทัวร์ที่ชื่อ ดิสอีสวอตเดอะทรุทฟีลส์ไลก์ทัวร์ ร่วมกับแร็ปเปอร์ อีฟ ในสหรัฐ[80] เธอยังพากย์เสียงเป็นดีเจซูคิ ในภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่อง โทรลล์ส ซึ่งออกฉาย 4 พฤศจิกายน 2016[81] เธอมีเพลง 5 เพลงในอัลบัมเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้[82] เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2016 สเตฟานีประกาศว่าเธอจะแสดงโชว์ 2 ครั้งสุดท้ายที่ เออร์วินมีโดส์แอมฟิเทียเตอร์ ระหว่าง 29-30 ตุลาคม ที่เป็นส่วนหนึ่งของโชว์ที่ชื่อ เออร์วินมีโดส์แอมฟิเทียเตอร์ไฟนอลโชส์[83] โดยมีวงร็อกอเมริกา ยังเดอะไจแอนต์ เป็นวงเปิดให้ 2 โชว์นี้ด้วย[84]

2017–ปัจจุบัน: ยูเมกอิตฟีลไลก์คริสต์มาส และคอนเสิร์ตที่ลาสเวกัส

ในเดือนกรกฎาคม 2017 สเตฟานีประกาศว่ากำลังทำงานในสตูดิโอและวางแผนจะออกผลงานเพลงใหม่ปลายปี[85] ในเดือนสิงหาคม มีการประกาศชื่อเพลงหลายเพลงทางเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของเจมา (GEMA) โดยเสนอว่าเธออาจบันทึกเสียงอัลบัมเทศกาลวันหยุด[86] ชื่อผู้แต่งเพลงหลุดออกมาว่า สเตฟานีร่วมงานกับสามี เบลก เชลตัน และจัสติน แทรนเตอร์[87] อัลบัมใช้ชื่อว่า ยูเมกอิตฟีลไลก์คริสต์มาส โดยประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อ 21 กันยายน 2017 และออกจำหน่าย 6 ตุลาคม 2017[88] เพลงไตเติลแทร็กของอัลบัมเผยแพร่ทางดิจิตัลเมื่อ 22 กันยายน 2017 เป็นซิงเกิลนำของอัลบัมและมีแขกรับเชิญร่วมร้องคือเชลตัน[89][90] เพื่อประชาสัมพันธ์ เอ็นบีซีขอให้เธอเป็นพิธีกรในรายการพิเศษช่วงคริสต์มาส โดยออกอากาศ 12 ธันวาคม 2017 และใช้ชื่อรายการว่า เกว็นสเตฟานีส์ยูเมกอิตฟีลไลก์คริสต์มาส[91]

ปี 2018 สเตฟานีเซ็นสัญญาจำนวน 25 โชว์ แสดงที่แซพโพสเทียเตอร์ในลาสเวกัส เริ่ม 27 มิถุนายน 2018 และจบลง 16 มีนาคม 2019 ชื่อคอนเสิร์ตครั้งนี้ใช้ชื่อตามเพลงของโนเดาต์ว่า "จัสต์อะเกิร์ล"[92]

แหล่งที่มา

WikiPedia: เกว็น สเตฟานี http://aria.com.au/pages/aria-charts-accreditation... http://www.aria.com.au/pages/aria-charts-accredita... http://www.news.com.au/dailytelegraph/story/0,2204... http://www.ultratop.be/en/showitem.asp?interpret=G... http://www.ultratop.be/en/showitem.asp?interpret=G... http://www.ultratop.be/en/showitem.asp?interpret=G... http://www.billboard.biz/bbbiz/charts/decadeendcha... http://www.billboard.biz/bbbiz/charts/decadeendcha... http://www.billboard.biz/bbbiz/charts/decadeendcha... http://www.licensing.biz/news/read/gwen-stefani-s-...